• ดัชนีดาวโจนส์คืนวันศุกร์ปิดลง 414.23 จุด คิดเป็น -1.81% ที่ระดับ 22,445.37 จุด ทางด้านดัชนี S&P 500 ปิด -2.06% ที่ระดับ 2,416.58 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด -2.99% ที่ระดับ 6,333 จุด
สำหรับภาพรวมสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี S&P 500 ปิด -7.05% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิด -6.87% และดัชนี Nasdaq ปิด -8.36%
และนับเป็นวันที่ 2 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงลงไปกว่า 2,600 จุด ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทำ Low ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ ขณะที่วันก่อนดัชนีร่วงลงไปกว่า 3,000 จุด และต่างก็ทำระดับต่ำสุดรอบ ปี ซึ่งถือเป็นระดับรายวันที่หุ้นส่วนใหญ่ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ต.ค. ป 2008
ตลาดหุ้นสหรัฐฯคืนวันศุกร์มีการซื้อขายที่ผันผวน และดัชนี Nasdaq ได้ยืนยันถึงภาวะตลาดขาลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลให้หุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มบริการสื่อสาร
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่ นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าประจำทำเนียบขาว ระบุว่า สหรัฐฯและจีนอาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ภายในการเจรจาช่วง 90 วันนี้ เว้นแต่จีนจะเห็นพ้องในการยกเครื่องนโยบายเศรษฐกิจ
ดัชนี S&P 500 ร่วงลงด้วยอัตราเปอร์เซ็นมากที่สุดในเดือนธ.ค.นี้ นับตั้งแต่ช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ โดยลงไปทำระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.ค. ปี 2017 และตอนนี้ร่วงลงไปแล้ว 17.5% นับจากระดับปิดสูงสุดเมื่อ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางด้านดัชนีดาวโจนส์ปิดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต.ค.ปี 2017 โดยภาพรวมปิดลดลงไป 16.3% จากระดับปิดสูงสุดเมื่อ 3 ต.ค.
ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของนายนาวาร์โร ดังกล่าวได้ส่งผลให้เกิดกระแสความกังวลต่อภาวะความไม่แน่นอนทางการเมือง และความเป็นไปได้ที่อาจเห็นเศรษฐกิจมีการชะลอการเติบโต
• ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดด้วยท่าทีระมัดระวัง หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯเผชิญความผันผวนในสัปดาห์ที่แล้ว
ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิด -0.56% ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาจักรพรรดิ์
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์เงินบาทสัปดาห์นี้ไว้ในกรอบระหว่าง 32.50-32.90 บาท/ดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยในประเทศ ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนพ.ย. ของธปท. ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในระหว่างสัปดาห์ ประกอบด้วย ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค. ยอดขายบ้านใหม่และยอดทำสัญญาณขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ การปรับโพสิชันของนักลงทุนก่อนใกล้สิ้นปี ประเด็นความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
• สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือน พ.ย.61 โดยภาพรวมกาส่งออกลดลง 0.95% มูลค่า 21,237.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากตลาดคาดจะขยายตัว 3.1-3.2% จากผลกระทบหลักของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯที่ส่งผลต่อไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ยังคงคาดว่าการส่งออกในปี 61 จะยังขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 8%
• สศก. คาดว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในปี 62 จะขยายตัวในช่วง 2.5-3.5% จากปี 61 ที่ขยายตัว 4.6% โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกสาขา จากปัจจัยสนับสนุนการดำเนินโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฎิรูปภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง และสภาพอากาศโดยทั่วไป ประกอบกับปริมาณน้ำที่ยังคงเอื้อต่อการผลิต